วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว





ชื่อ นางสาว นูรีซัน เด็นหมาน
เกิดเมื่อ 27 มกราคม 2538
บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 2 ตำบล จะแหน อำเภอ สะบ้าย้อย จังหวัด สงขลา 90210
สัญชาติ ไทย  เชื้อชาติไทย
ประวัติการศึกษา
อนุบาล         โรงเรียน บ้านคอลอมุดอ
ประถมต้น      โรงเรียน บ้านคอลอมุดอ
ประถมปลาย  โรงเรียน บ้านคอลอมุดอ
มัธยมต้น        โรงเรียน บ้านคอลอมุดอ
                       มัธยมปลาย                  โรงเรียน แสงธรรมวิทยารมูลนิธิ



วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แค่หลับตา บี้-หนูนา Official MV

กลอนปีใหม่



กลอนปีใหม่

ขอลาที ปีเก่า แสนเศร้าโศก 
ความอับโชค ที่มา กับราศี 
อีกโพยภัย ไข้ทำ ประจำมี 
ในชีวี จงสลาย มลายพลัน

สวัสดี ปีใหม่ ขอให้สุข 
หมดสิ้นทุกข์ กายจิต มิผิดผัน 
อายุมั่น ขวัญยืน สี่หมื่นวัน 
มีผิวพรรณ ผ่องนวล เย้ายวนชม

ปรารถนา เงินทอง กองท่วมฟ้า 
ทำการค้า ร่ำรวย ไปสวยสม 
มียศศักดิ์ รักใคร ใคร่ภิรมย์ 
ขอให้กลม เกลียวกัน และมั่นคง

ถ้าผู้ใด ใจว่าง เรื่องทางรัก 
ให้พบพักตร์ กันที อย่ามีหลง 
หากอกหัก หนักไป ครวญใคร่ปลง 
ขอท่านจง โชคดี ทั้งปีเทอญ

ขอขอบคุณที่มาของ กลอนปีใหม่ จาก : คุณ •OrAGe• สมาชิก Planet Kapook

กลอนปีใหม่ดอกไม้
พุทธรักษา ขอพุทธคุ้มครองขวัญ 
เฟื่องฟ้า แทนคืนวันอันสดใส
จำปี แทนปีแห่งโชคชัย
บานชื่น ให้ชื่นไปตลอดกาล
แก้ว ก้าวไปอย่างใจหวัง
ทานตะวัน สานฝันสานสุขศรี
กล้วยไม้ ประทานขวัญผสานฤดี
ราตรี นี้พ้นทุกข์ นิราศ
ที่มา : EZ-Friends

 
                                              คลิ๊กดูรูป

ใกล้สิ้นสุดวาระแห่งปีเก่า
ขอให้เรื่องเศร้า ๆ เคยร้าวฉาน
จงสิ้นสุดลงไปกับวันวาน
ขอให้มีแต่ความหวานปีใหม่เอย
ขอให้มั่งให้มีด้วยเงินทอง
ที่ลูกหนี้เคยทำหมองและเมินเฉย
ก็ให้เก็บตังค์ได้ครบทุกบาทเลย
ขอให้รักลงเอยลงด้วยดี
สำหรับคนที่ยังตกงานอยู่
ขอให้พบคนอุ้มชูในปีนี้
ให้ทุกท่านได้งานทำดี ดี
คนที่มีงานทำอยู่จงชื่นใจ
เพราะว่าเจ้านายดูใจดีไปหมด
ไม่เคยลดแถมเพิ่มโบนัสให้
ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุขท่วมท้นใจ
สิ่งร้าย ๆ จงทิ้งไปใน..ปีเก่าเอย..//  
ที่มา : ต้นว่าน http://poem.meemodel.com/

ปีใหม่
ข้อมูลจากสมาชิก Planet Kapook โดยคุณ •OrAGe• 
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต


ขอลาที ปีเก่า แสนเศร้าโศก 
ความอับโชค ที่มา กับราศี 
อีกโพยภัย ไข้ทำ ประจำมี 
ในชีวี จงสลาย มลายพลัน


สวัสดี ปีใหม่ ขอให้สุข 
หมดสิ้นทุกข์ กายจิต มิผิดผัน 
อายุมั่น ขวัญยืน สี่หมื่นวัน 
มีผิวพรรณ ผ่องนวล เย้ายวนชม


ปรารถนา เงินทอง กองท่วมฟ้า 
ทำการค้า ร่ำรวย ไปสวยสม 
มียศศักดิ์ รักใคร ใคร่ภิรมย์ 
ขอให้กลม เกลียวกัน และมั่นคง


ถ้าผู้ใด ใจว่าง เรื่องทางรัก 
ให้พบพักตร์ กันที อย่ามีหลง 
หากอกหัก หนักไป ครวญใคร่ปลง 
ขอท่านจง โชคดี ทั้งปีเทอญ
ที่มา : http://hilight.kapook.com/

                         

อยากเคาท์ดาวน์ อยู่ใกล้ใกล้ หัวใจเธอ
วินาที ที่ได้เจอ กับสิ่งใหม่
นับไปพร้อม กับการเต้น ของหัวใจ
พร้อมจะรับ วันปีใหม่ ใจสองดวง

********** กลอนปีใหม่ ***********
นับสี่สาม สองหนึ่ง ถึงปีใหม่
นับถอยหลัง ฟังหัวใจ ว่าใช่แน่
ต่อไปนี้ เข้าปีใหม่ ใจคนแคร์
ขอสัญญา จะดูแล เธอเรื่อยไป

********** กลอนปีใหม่ ***********
ส.ค.ส...ปีห้าสาม..
กุหลาบขาว..ร้อยกวี..มีความหมาย
ส่งตรงถึง..สมาชิก..ทั้งหญิงชาย
ทั้งไกลใกล้..หรือต่างแคว้น..สุดแดนดิน
ขอยอกร..น้อมประนม..ก้มเกศา
อาราธนา..พระรัตนตรัย..ใจถวิล
แลทวยเทพ..เทวา..ทั่วฟ้าดิน
ปู่ฤษีทั้ง 108..หากยลยิน..โปรดเมตตา
เสด็จมา..ประทานพร..อันศักดิ์สิทธิ์
ที่เรืองฤทธิ์..แด่มิ่งมิตร..ทั่วทิศา
มีความสุข..ปราศผองภัย..ไร้โรคา
ทั้งเงินตรา..มากมีทรัพย์..นับอนันต์
อีกหน้าที่..การงาน..จงก้าวหน้า
โชควาสนา..เรื่องรุ่ง..พุ่งไพศาล
คิดได้เพชร..ได้ทอง..มากองพลัน
จงสุขสันต์..สุขี..ปีใหม่เทอญ...

********** กลอนปีใหม่ ***********
จะเกี่ยวก้อย ไปเฝ้าคอย นับถอยหลัง
อยากตะโกน เสียงดังดัง รับปีใหม่
ต่อไปนี้ ฉันคนเก่า จะหายไป
ขอเปลี่ยนเป็น ฉันคนใหม่ ที่แข็งแรง

********** กลอนปีใหม่ ***********
โลกมีหมุน เวียนเปลี่ยน จากจุดเดิม
มีสิ่งใหม่ เข้ามาเพิ่ม เติมสีสัน
ปีเก่าผ่าน วันวานพ้น คนละวัน
เรื่องร้ายร้าย ให้ลืมมัน เถิดคนดี

********** กลอนปีใหม่ ***********
แกะห่อของขวัญปีนี้
จะเจอความปรารถนาดีที่มีให้
แอบซ่อนอยู่ในของขวัญที่ส่งไป
ปนกับความปลื้มใจที่ให้เธอ

********** กลอนปีใหม่ ***********
อยากอยู่ข้างคุณตอนเคาท์ดาวน์
ให้เวลายืนยาวยามคืนนั้น
เป็นเวลาที่เราได้ใกล้กัน
และขอพรตอนนั้นให้กับคุณ

 
********** กลอนปีใหม่ ***********
สวัสดีวันปีใหม่  
ขอให้ทุกทุกคนจงสุขขี  
ขอให่สิ่งที่ผ่านมาในสิ้นปี  
จงทิ้งไปซะทีที่ผ่านมา  
อย่ากังวลเรื่องใดที่แล้วผ่าน
อย่าให้วันวานมาทำให้หม่นหมอง
เอาความคิดความกังวลเป็นเรื่องรอง
แล้วเก็บความเศร้าหมองให้ไปกับสิ้นปี
   
วันปีใหม่ขอให้มีความสุข
ท่านที่สุขขอให้สุขยิ่งยิ่งขึ้น
ทำให้ปีใหม่เราให้ครึกคลื้น
เพราะสุขใจยิ่งขึ้นวันปีใหม่

********** กลอนปีใหม่ ***********
ศุภฤกษ์..ดิถี..ขึ้นปีใหม่
ขอชาวไทย..ทั่วประเทศ..ทั่วเขตขันต์
ทั้งหญิงชาย..นายน้า..ถ้วนหน้ากัน
มีความสุข..ทุกวี่วัน..กันทุกคน
ขอคุณพระ..ช่วยปกปักษ์..รักษาท่าน
ช่วยคุ้มกัน..อันตราย..ภัยอย่าเห็น
มีโชคลาภ..วาสนา..มาเช้าเย็น
บุญส่งเป็น..เจ้านายคน..จนไม่มี

********** กลอนปีใหม่ ***********
พรดีดีที่ไหนใครว่าเลิศ
พรประเสริฐใดใดในทั่วหล้า
พรสวรรค์พรแสวงให้แบ่งมา
จงนำพาสู่ผู้อ่านบานตะไท
มาบันดาลให้ไทยนั้นสุขสันต์
มาบันดาลให้ทุกวันนั้นแจ่มใส
มาบันดาลให้มีสุขทุกคนไป
มาบันดาลให้ไทยนั้นรุ่งเรือง

********** กลอนปีใหม่ ***********
ในวาระดิถีขึ้นปี่ใหม่
ขออวยชัยอวยพรให้สุขสม
ขอให้โรคภัยที่ตรอมตรม
จงล้มตายหายมลายไป

********** กลอนปีใหม่ ***********
ปีใหม่เข้า  มาแล้ว  น้องแก้วจ๋า  
มาเฮฮา  กันเถิด  เกิดสนุก   
ขอให้ท่าน  ไร้โรค  และปลดทุกข์    
ให้มีสุข  ทุกข์ภัย  อย่าได้มี
   

********** กลอนปีใหม่ ***********
ปีใหม่นี้ขอให้เธอมีความสุข
เรื่องที่ทุกข์ที่ผ่านมาพาเศ้าหมอง
ปีใหม่นี้เริ่มต้นใหม่คิดไต่ตรอง
จะไม่มีครังที่สองต้องเสียใจ

 
********** กลอนปีใหม่ ***********
ห่อด้วยมิตรภาพ....เอื้ออารี
ความรู้สึกดีๆ...ที่มีให้
ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ...รางวัลใจ
มอบให้เธอวันปีใหม่....จากใจจริง

 
********** กลอนปีใหม่ ***********
ฉันขอโทษกับสิ่งที่แล้วมา
เคยผิดพลั้งมาหลายครามาหลายหน
เธอก็ยังคงรับรู้ สู้ทุกข์ทน
กับคนไร้เหตุผล...คนไม่ดี

********** กลอนปีใหม่ ***********
ดับร้อน...ดับเข็ญ...ชื่นเย็น...มีสุข
ดับโศก...ดับทุกข์...เป็นสุขสดใส
แม้อากาศร้อน ขอให้นอนสบาย
โชคดีตลอดไป...ทั้งปีใหม่เทอญ

********** กลอนปีใหม่ ***********
หากเคยเหงาเคยเศร้ามาเท่าไหร่ 
ขอให้มันผ่านไปกับปีเก่า
ปีใหม่นี้ขอให้มีแต่สองเรา
และความสุขที่เราเฝ้าดูแล

********** กลอนปีใหม่ ***********
เหงาๆ มานานเป็นปี
ขอให้เจอคนที่ดีในปีหน้า
ให้เจอคนคลายเหงาก้าวเข้ามา
ร่วมชีวิตในปีหน้า...ขอให้เจอ

 
********** กลอนปีใหม่ ***********
ส่งใจดีๆ มาให้
ของขวัญเอาไว้วันหลัง
แค่นี้ก็สุขใจจัง
ขอให้เธอสมหวังตลอดปี

 
********** กลอนปีใหม่ ***********
ขอให้สุขทุกวารกาลสมัย
ขอสุขะ พลานามัย สมสุขศรี
เจริญลาภยศลือไกลชัยทวี
แลครอบครัวมั่งมีทวีเจริญ

10 มุฮัรรอม


10 มุฮัรรอม

เดือนมุฮัรรอม ของมุสลิมเมืองไทย ที่มีตำนานกล่าวขานกันมาว่า ในวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอมนี้ เป็นวันที่เรือของนบีนูว์ ซึ่งล่องลอยอยู่กลางนาวาเป็นเวลานาน  ถือรอดปลอดภัย ทำให้อาหารที่ตระเตรียมไว้ร่อยหรอลง จึงได้นำส่วนที่พอจะมีเหลืออยู่เอามารวมแล้วกวนกินกัน จึงกลายเป็นตำนานที่มาของ……ขนมอาซูรอ  ส่วนนี้ เป็นความเชื่อกันมายาวนาน เรื่องนบีนุว์ หรือที่ ศาสนิกอื่น อาจรู้จัก ในนามโนอา  ที่สร้างเรือบนยอดเขา
แต่ความสำคัญของวันอาซูรอที่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ก็คือเป็นวันประเสริฐ สำหรับการถือศีลอด รองมาจากเดือนรอมฎอม   ซึ่ง เดือนมุฮัรร็อม ถือเป็นเดือนในลำดับที่หนึ่งของปฎิทินอิสลามตามจันทรคติ
มีหลักฐานว่า
ขณะที่นบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ  อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ชาวยิวที่นั่นต่างถือศีลอดในวันอาชูรอฮ์ (วันที่ 10 มุฮัรรอม)  ท่านนบีจึงถามพวกเขาว่า  “วันนี้เป็นวันอะไร ? ”  พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นวันที่ยิ่งใหญ่พระองค์อัลลอฮ์ทรงให้ความปลอดภัยแก่นบีมูซา อลัยฮ์ฯ และหมูชนของท่าน และทรงให้ฟาโรห์และเหล่าทหารของเขาจมน้ำตาย  นบีมูซาจึงถือศีลอดเพื่อขอบคุณพระองค์  เราจึงถือศีลอดในวันนี้ด้วย”
ท่านนีบกล่าวว่า       “ نَحْنُ أَحَقُّ بِمُوْسَى مِنْكُمْ”
“เราสมควรที่จะดำเนินตามมูซายิ่งกว่าพวกท่าน”   แล้วท่านนบีก็ถือศีลอดและใช้ให้บรรดาซ่อฮาบะฮ์ถือสีลอดด้วย”  บันทึกโดย  อัลบุคอรีย์และมุสลิม  จากอิบนิ  อับบาส
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ยืนยันในความประเสริฐของการถือศิลอดในวันอาซูรออฺด้วยถ้อยคำอันชัดเจน ว่า
سُئِلَ عَنْ صَوْمِ يَوْمِ عَاشُوْرَاءَ فَقَالَ يُكَفِّرُ السَّنَةَ المَاضِيَةَ
“ท่านนบีถูกถามถึงการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านตอบว่า “ลบล้างความผิดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา” (บันทึกโดยมุสลิม)
นักวิชาการอิสลามได้มีความเห็นตรงกันถึงความประเสริฐของการถือศีลอดในวันอาชูรอ อฺ และมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันตาซูอาอฺไปด้วย คือวันที่ 9 ของเดือนมุฮัรรอม
และนักวิชาการอิสลามบางท่านมีความเห็นชอบให้ถือศีล อดวันที่ 11 รวมไปด้วย
สรุปแล้วการถือศีลอดในวันอาซูรออฺนี้มี สามระดับด้วยกัน
1-   ถือศีลอดแค่วันเดียว คือ วัน อาซูรออฺ ( 10 มุฮัรรอม )
2-   ถือศีลอดสองวัน คือ วันตาซูอาอฺ และ อาซูรออฺ ( 9-10 มุฮัรรอม)
3-   ถือศีลอดสามวัน คือ วันที่ ( 9-10-11 มุฮัรรอม )
ขอบคุณ ข้อมูล

ผลวิจัยเด็กมุสลิมใต้


ผลวิจัยเด็กมุสลิมใต้ "เรียนหนักแต่ล้มเหลว" แนะบูรณาการ "ศาสนา-สามัญ"

UploadImage

เปิดผลวิจัย "อิสลามศึกษา" พบเด็กมุสลิมชายแดนใต้ล้มเหลวทั้งวิชาการและศาสนา เหตุหลักสูตรไม่บูรณาการ ผู้ปกครองตั้งความหวังสูง อยากให้ลูกเป็นโต๊ะครูควบคู่กับอาชีพการงานดี ทำให้เรียนหนักจนล้า ขณะที่เด็กมาเลย์เรียนเบากว่าแต่กลับประสบความสำเร็จ

          เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมกำแหง พลางกูร สภาการศึกษาแห่งชาติ มีการสัมมนารายงานผลการวิจัยเรื่อง "บูรณาการอิสลามศึกษา รูปแบบการจัดการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานของโรงเรียนรัฐบาลในประเทศมาเลเซียเปรียบเทียบกับประเทศไทย" จัดโดยสภาการศึกษาแห่งชาติ

          นายมูหามัดรูหนี บากา ผู้ชำนาญการอิสลามศึกษา สำนักบริหารยุทธศาสตร์และบูรณาการศึกษาที่ 12 หนึ่งในคณะวิจัย กล่าวว่า เด็กไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเรียนหนักมาก แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันโรงเรียนในพื้นที่สอนอิลลามศึกษาควบคู่กับการเรียนวิชาสายสามัญ รวมๆ แล้วเด็กต้องเรียนทั้งหมด 16 วิชา เป็นวิชาสามัญ 8 กลุ่มสาระวิชา และวิชาศาสนา 8 รายวิชา ทั้ง 16 วิชานี้ยังแตกเป็นรายวิชาย่อยมากมาย เด็กจึงต้องใช้เวลาเรียนเยอะมาก แต่ผลการประเมินระดับชาติที่สะท้อนออกมากลับล้มเหลวทั้ง 2 ด้าน

          กล่าวคือคะแนนทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอ-เน็ต ของเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในอันดับรั้งท้ายของประเทศ ส่วนคะแนนผลการทดสอบมาตรฐานอิลสามศึกษา หรือ ไอ-เน็ต คะแนนเฉลี่ยของทุกวิชาไม่ผ่านครึ่ง ยกเว้นวิชาเดียวคือวิชาจริยธรรมที่ได้คะแนนเกินครึ่ง

          นายมูหามัดรูหนี กล่าวต่อว่า สำหรับโรงเรียนรัฐบาลในประเทศมาเลเซียนั้น แยกวิชาสามัญและวิชาศาสนาเหมือนกับไทย แต่มีการบูรณาการเนื้อหาวิชาศาสนาเข้าด้วยกันให้เหลือแค่วิชาศาสนาอิสลาม 1 รายวิชา แล้วไปแยกแยะเนื้อหาในกระบวนการเรียนการสอน เสริมด้วยวิชาภาษาอาหรับและภาษามลายูอีก 2 รายวิชา เด็กมาเลเซียจึงไม่ต้องเรียนหนักเหมือนเด็กมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะที่การเรียนศาสนาในมาเลเซียจะเน้นการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ให้เด็กสามารถประพฤติ ปฏิบัติตามหลักศาสนาได้อย่างถูกต้อง เด็กจึงค่อนข้างประสบความสำเร็จกับการเรียนอิสลามศึกษา

          "สาเหตุที่ทำให้เด็กในสามจังหวัดภาคใต้ต้องเรียนหนัก เพราะความต้องการของพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นโต๊ะครู ขณะเดียวกันก็อยากให้เป็นแพทย์ไปด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เด็กทุกคนเก่ง 2 ด้าน แต่ผลก็คือลูกตัวเองต้องเรียนหนัก รวมๆ แล้วต้องเรียนถึงวันละ 9 ชั่วโมง ขณะที่มาเลเซียเขาเรียนศาสนาแต่วันละ 3 ชั่วโมง ส่วนเด็กไทยตกกลางคืนต้องไปเรียนอัลกุรอานเพิ่ม เสาร์-อาทิตย์ยังต้องไปเรียนศาสนาที่ตาดีกา สุดท้ายเรียนไม่ผ่านเพราะเรียนหนักจนล้า"

          "ขณะที่เด็กมาเลเซียนั้นจะเรียนศาสนาจบในระดับมัธยมต้น หลังจากนั้นถ้าใครต้องการไปเป็นผู้รู้ ไปเป็นโต๊ะครู จึงจะเลือกเรียนศาสนาเพิ่มเติมในระดับมัธยมปลาย ส่วนเด็กอื่นๆ ก็จะเรียนเน้นหนักในสายที่ตัวเองต้องการศึกษาต่อ" นายมูหามัดรูหนี กล่าว

แนะบูรณาการเนื้อหา"ศาสนา-สามัญ"

          ดร.ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเซียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า ทิศทางการจัดการศึกษาของโลกมุสลิมนั้นเน้นการศึกษาตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ ให้ศึกษาความรู้ทั้งทางวิชาการโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และศาสนา เพื่อให้สามารถทำประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้ แต่เป้าหมายการเรียนอิสลามศึกษาในไทยนั้นเพื่อความศรัทธาต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นการเรียนศาสนาในไทยจึงไม่เหมือนที่อื่น

          นอกจากนั้น ยังไม่มีการเรียนแบบบูรณาการด้วย ดังนั้นจึงควรปรับปรุงในระดับเนื้อหา เช่น ทำอย่างไรจะให้วิชาคณิตศาสตร์สอดแทรกการเรียนรู้หลักศาสนาเข้าไปด้วย และวิชาที่คล้ายๆ กันก็ควรรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เด็กไม่ต้องเรียนหนัก และประสบความสำเร็จกับการเรียนได้

--------------------------------------------------
ข่าว : สำนักข่าวอิศรา
บรรยายภาพ : 1 ห้องเรียนตาดีกาที่ชายแดนใต้ (ภาพจากแฟ้มภาพอิศรา ถ่ายโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ พรางภาพโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา)

ไทย ติดลำดับ 1 ของโลกที่ เด็กไทยเรียนหนังสือหนักที่สุดในโลก


ไทย ติดลำดับ 1 ของโลกที่ เด็กไทยเรียนหนังสือหนักที่สุดในโลกหมวด » เก็บตก inbox » เก็บตกจาก inbox » ไทย ติดลำดับ 1 ของโลกที่ เด็กไทยเรียนหนังสือหนักที่สุดในโลก

      โดยนักวิจัยนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ  สนับสุนโดยสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  กล่าวว่า  ประเทศไทยถูกจัดลำดับที่  มีเวลาเรียนที่เยอะที่สุดในโลก  เมื่อรองมาจากประเทศญี่ปุ่น   เหตุที่เรียนหนักจึงส่งผลทำให้มี  เด็กไทย  ต้องออกกลางคันจำนวนปีละ  900.000  คน ต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี  และมีปัญหา  ตั้งครรภ์   ก่อนวัยอันควรจำนวน 1.500.000  คน  ใน  2  ปีที่ผ่านมา  และยังมีเยาวชนติดโรคเอดส  จำนวน  1.358.000  คน  ใน  3 ปี  และจะเพิ่มขึ้นทุกปี   และมีค่าเรียนที่แพง  จนมีเด็กไทยหลายคน  เลือกทำอาชีพที่ผิดกฎหมายกันมากขึ้น  จำนวน  386.250  คน  ต่อปี  เด็กที่ประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย  เช่น  ข่ายตัว  ค้าขายเสพติด  เป็นต้น  สาเหตุที่เด็กทำผิด  เฉพาะ  ต้องการหาเงินเป็นค่าเรียน และ การเรียนพบว่า  เด็กไทยมีเวลาเรียนวันละ  8-10  คาบ ต่อวัน  แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนหนังสือเพราะเบื่อหน่วย   และที่น่าเป็นห่วงที่สุด  เด็กจำนวน  ร้อยละ  87  มีเวลา  พูดคุยกับ  พ่อแม่  วันละ  10  นาที  จึงทำให้เด็กไม่มีเวลาได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ
จึงทำให้  พ่อแม่ไม่รู้ชีวิตความเป็นอยู่ในโงเรียนของเด็กเลย  หรือ  น้อยมาก  และเมื่อพบอีกว่า  เนื้อหารายวิชาต่างๆ  มีแต่เนื้อหาที่มีความรู้  แต่ไม่มีศิลธรรม จึงทำให้เด็กกลายเป็นคน  ขาดศิลธรรม  ไม่รู้จัก  เสียสละ  ไม่รู้จัก  ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อผู้อื่น  และกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในที่สุด  เมื่อเด็กจบไป  เด็กอาจใช้ความรู้ที่มีมาก่อน  นำไปใช้ในทางที่ผิดศิลธรรม  ในที่สุดได้เช่นกัน  
และมี  เด็กไทย  ตั้งแต่  7 -20  ปี  ที่ต้องฆ่าตัวตาย  ด้วยผลการเรียนตกตํ่า  หรือ  สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้   ที่น่าตกใจมีจำนวนที่เด็กไทย  ที่ฆ่าตัวตาย  ปีละ  300.000  คนต่อ  อีกปัญหาหนึ่ง  คือ  จำนวนนักเรียนในห้องเรียนมากเกินไป  ตามมาตรฐานการศึกษาจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่ควรเกิน  30  คน
"คำพูดที่สรุปภาพของการศึกษาไทยได้อย่างเจ็บแสบว่าเป็นแบบ "ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ" เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทาง วิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบ เด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ สภาพเช่นนี้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ทุกคน ถ้าวันนี้ถ้าระบบการศึกษาไทยยังไม่เปลี่ยน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้" 
ที่มา    www.dailynews.co.th
รูป รักโลก
โดย: รักโลก

11 เหตุผลที่ วัยรุ่นต้อง เรียนพิเศษ


11 เหตุผลที่ วัยรุ่นต้อง เรียนพิเศษ


เรียนพิเศษ
เพื่อนๆเคยสงสัยปะว่า ทำไม? เด็กมัธยมไทยถึงใช้เวลาว่างไปในการ เรียนพิเศษ กันเยอะ เคยเห็นนะ พอเลิกเรียนเสร็จแล้วต้องรีบๆๆๆ ไปที่ เรียนพิเศษ ให้ทัน ด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียด ทั้ง คอร์ส กวดวิชา ฟิสิกส์ เสร็จแล้วก็รีบไปเรียนต่อ คอร์สคณิตศาสตร์ ที่อีกตึกนึงซึ่งห่างออกไปเกือบ กิโล ทำเช่นนี้ซ้ำๆเป็นกิจวัตรประจำวัน บางครั้งมากกว่า 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งอันนี้ยังไม่รวมวันเสาร์อาทิตย์ ที่บางคนถึงขั้นต้องออกไปเรียนกัน ตั้งแต่เช้ายันมืดเลยทีเดียว –!
ทั้งๆที่เด็กหลายๆคน ก็ไม่ได้เรียนแย่ถึงอะไรมากมาย กลับกัน เด็กหลายๆคนที่ เรียนพิเศษ กันหนักๆนั้นเป็นกลุ่มท้อปของห้องเสียด้วยซ้ำ และตรงกันข้าม เด็กที่ไม่เอาดีทางด้านการเรียน ( ที่หลายคนเรียกว่าเด็กเกเร ) ก็แทบจะไม่ เรียนพิเศษ กันเลย มันเกิดอะไรขึ้น ! มาลองดู 11 เหตุผลที่ วัยรุ่นต้อง เรียนพิเศษ กันคะ 
1. ไม่ชอบครูผู้สอน
2. เรียนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง
3. เรียนในห้องเรียนไม่ทันเพื่อน
4. เรียนทันเพื่อนอยู่แล้ว แต่กลัวเพื่อนจะแซง
5. เรียนได้ที่ 1 ของโรงเรียนอยู่แล้ว แต่อยากเก่งกว่าที่ 1 ของโรงเรียนอื่น
6. มาตรฐานแต่ละโรงเรียนต่างกัน
6. อยู่บ้านเฉยๆบางทีก็เบื่อ
7. กวดวิชาได้เจอเพื่อนใหม่ๆ
8. ผู้ปกครองให้ไปเรียน
9. มีความเชื่อว่าเรียนเยอะไว้ก่อนได้เปรียบ
10. เรียนตามเพื่อน
11. ต้องการสูตรลัดที่โรงเรียนไม่สอน
เรียนพิเศษ
จริงๆแล้ว อาจจะมีเหตุผลมากกว่านี้อีกเยอะ แต่ส่วนมากก็จะมุ่งไปในทิศทางเดียวกันคือ เรียน เพราะอยากเข้า โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียง ที่จำกัดปริมาณของผู้เข้าเรียน ประเภทว่าคนสมัครเป็นหมื่นแต่รับได้ร้อยคน… จึงทำให้เกิดการแข่งขันสูงมาก การอยู่เฉยๆ หรือเรียนแค่วันละ 6 ชั่วโมงตามหลักสูตร ย่อมไม่เพียงพอต่อการแข่งขันแน่นอน ยิ่งเพื่อนๆที่เป็นคู่แข่ง เรียนเอาๆ ซึ่งเปรียบได้กับม้าแข่งที่ จ้ำไม่หยุด แล้วเราจะมามัวเป็นม้าแข่งที่จ้ำๆหยุดๆได้อย่างไร
ในบางครั้งการเรียน เรียนพิเศษ มาราธอนมากเกินไป แทนที่จะส่งผลดี กลับส่งผลร้ายให้กับตัวผู้เรียนอย่างจัง นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว ส่วนที่สำคัญอย่างนึงคือ มันจะไม่รู้จริง เนื่องจากโครงสร้างสมองของมนุษย์ โดยเฉพาะช่วงอายุ 14-17 ปี มักจะมีสมาธิที่สามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ประมาณไม่เกิน 30 นาที แล้วแต่บุคคล หากมากกว่านั้นแล้ว จะเกิดอาการ สมาธิหลุด เอาดื้อๆได้ ซึ่งไม่ส่งผลดีแน่ๆ อุตส่าห์มาเรียนกวดวิชาเพราะว่าเรียนตามเพื่อนไม่ทัน แต่ดันมาสมาธิหลุดในโรงเรียนกวดวิชาทำให้ตามเพื่อนที่กวดวิชาไม่ทันอีก
วิธีแก้ปัญหา นี้ไม่ยาก คือ พักเบรค สัก 10-20 นาที เพื่อให้สมองหายล้า และกลับมาพร้อมเรียนต่ออีกรอบนึง วิธีนี้สามารถเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง ไม่จำกัดเฉพาะกับการ เรียนพิเศษ กันนะจ้ะ วัยรุ่น ยังไงเพื่อนๆลอง ทบทวนตัวเองดูและอย่าเครียดมากเกินไปนะคะ teen.mthai เป็นห่วงนะ

ทำไมเด็กไทยต้องเรียน หมอ








ต้องขอออกตัวก่อนว่าสิ่งที่บรรยายลงไปนี้เป็นสิ่งแวดล้อมที่ จขกท พบเจอมาไม่ได้ต้องการจะตั้งกระทู้กระทบกระทั่งใครทั้งนั้น OK นะคะ


บ่อยครั้งที่มักจะได้ยินกับคำถามเหล่านี้

- พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่มักปลูกฝังลูกหลานให้เรียนหมอ
- เด็กสายวิทย์ส่วนมากเมื่อถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากสอบอะไร ส่วนใหญ่ก็มักจะตอบว่า"หมอ" >> ทั้งที่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ตัวเลย
- เจอเพื่อนหรือญาติที่เรียนเก่งๆ ก็มักจะคิดว่าคนคนนี้ต้องได้เป็นหมอเเน่นอน
 อะไรทำนองนี้
หรือกระทั่งโฆษณาเครื่องดื่มบำรุงสมองยี่ห้อหนึ่งก็โฆษณาติวเด็ก ม.ปลาย ทั่วประเทศ โดยใช้คำโฆษณาเกี่ยวกับต้องเรียนหมอ อะไรทำนองนี้ (เรียนคณะอื่นไม่ได้หรือไงฟะ)

ค่านิยมเหล่านี้มาจากไหนกันคะ ?
ในความคิดเรานะ เราคิดว่าคนที่บอกว่าอยากเป็นหมอกลุ่มหนึ่งไม่ได้มจากความต้องการของตัวเองหรอก   ส่วนใหญ่จะมาจากแรงกดดันหรือปัจจัยหลายๆอย่างมากกว่า  แต่ถ้าคนที่มีใจรักที่จะเรียน รักที่จะช่วยเหลือคนอื่นก็โอเคเหตุนี้ไม่ว่ากัน

หลายคนพ่อแม่อยากให้เรียน เพราะจบไปแล้วสบาย เงินดี ไม่ตกงาน ล้านแปดเหตุผลอ้างมาแล้วลูกๆอย่างเราก็ต้องมีหน้าที่ทำไป  บางครั้งพวกคุณเคยคิดทบทวนตัวเองไหม ?
ว่าทำไมต้องเป็นหมอ  อาชีพอื่นไม่มีอีกแล้วหรือ ?

ยกตัวอย่างพี่สาวของ จขกท นี่แหละ  นี่ก็พ่อแม่บอกให้เป็นหมอเหมือนกัน
จขกท ก็มักจะถามพี่สาวบ่อยๆว่า
 "เจ้อยากเป็นหมอจริงๆหรอ" พี่สาวก็มักจะตอบแบบเดิมๆว่า
"เจ้จะสอบดู เจ้อยากเป็นหมอ" แต่คำตอบของพี่สาวเราช่างตรงข้ามกับการกระทำสุดๆ พี่เราเตรียมเข้ามหาลัยอ่านหนังสือตั้งแต่ ม.4 แต่หนังสือที่อ่าน 80 % เป็นเกี่ยวกับพวกคำนวณยากๆ แล้วก็หนังสือสอบวิศวะทั้งนั้น

จนล่าสุดปีที่แล้วพี่เราก็สอบเข้ามหาลัย
- ได้วิศวะทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่น  ไม่เอา
- คุรุศาสตร์จุฬา ไม่เอา

จน 2 อันสุดท้ายที่ต้องเลือกคือ
แพทย์ มข  กับ วิศวะบางมด

พี่ จขกท เลือกวิศวะค่ะ แล้ว จขกท ก็สงสัยอีก ไหนบอกอยากเป็นหมอไงวะ ?
"ตอนแรกที่เจ้บอก เจ้อยากเป็นหมอพูดตรงๆเถอะ เจ้ตามกระแสเค้ไปเท่านั้นแหละ บางทีการที่เราสวนกระแสบ้างอะไรๆมันอาจจะดีสำหรับเราก็ได้ " 
หลังจากที่พี่สาวเราเลือกวิศวะ ไม่ต้องบอกก็รู้เหล่าบรรดาญาติพี่น้องรุมมาถามว่า
"ทำไมไม่เป็นหมอ"
"เป็นทำไมวิศวะ เธอเป็นผู้หญิงนะทนเรียนได้หรอ"
"ทำไมไม่เป็นหมอไม่อยากสบายรึไง"

แล้วก็อีกมากมาย  แต่พี่เราก็มักจะตอบพวกเค้าแบบไม่คิดอะไรมาก
"เรียนวิศวะก็รวยได้สบายได้ค่ะ หนูชอบวิศวะ หนูเลือกแล้วเพราะคนเรียนคือหนู หนูจะเรียนในสิ่งที่ชอบ"
เจ๋งมากเถอะพี่สาวฉัน เราเห็นพี่เราเรียนวิศวะก็มีความสุขดี เกรดก็อยู่ในเกณฑ์ดีไม่ได้ดิ่งลงเหว

ตอนนี้ จขกท เองก็โดนบอกให้เรียนหมอเช่นกัน  บอกตรงๆว่ายังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไร 
ใจ จขกท คืออยากให้คนที่มาเรียนหมอน่ะ อยากเป็นหมอจริงๆ มาจากจิตใจที่ต้องการรักษาคนไข้ไม่ได้ต้องการค่าตอบแทนที่มากมายแค่มีความสุขกับคนไข้ที่หายป่วยมากกว่าที่อยากเป็นเพราะแรงชักจูง หรือ หวังเงินทองอะไร
แต่ตอนนี้ที่สงสัยคือ
 "ใครสร้างค่านิยมที่ว่าคนไทยต้องเรียนหมอ "

ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นสอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์
                  พระราชดำรัส สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก


ทำไมเด็กไทยต้องเรียน พิเศษ



     ใน ปัจจุบันนี้ เด็กที่เรียนหนังสือตามโรงเรียนต่างๆ ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนในชั้นเรียนปกติ และเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เรียนวิชาต่างๆ ที่โรงเรียนเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้ หรือที่ผู้ปกครองพาเด็กไปเรียนเพิ่มเติมเองอีกมากมาย เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น ร้องเพลง เต้นบัลเลต์ เรียนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เรียนฝึกพูด ฯลฯ เด็กบางคนต้องเรียนทุกวันเลยค่ะ และพอสอบถามดูปรากฏว่า เด็กหลายคนเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนย่ำแย่ หรือได้เกรดต่ำแต่ประการใด ทั้งนี้ผู้เขียนได้รวบรวมเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เด็กไป โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษ ดังนี้


1.เรียนอ่อนไม่ทันเพื่อนจริงๆ

2.กลัวแข่งขันกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนพิเศษไม่ได้ ต้องสร้างความมั่นใจ


3.เก่งอยู่แล้ว...แต่อยากเก่งที่ซู้ด

4.สนใจอยากเรียนวิชาต่างๆ เหล่านั้นเพิ่มเติมเอง

5.ผู้ ปกครองไม่มีเวลาอบรมดูแล จึงส่งมาไว้ที่โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษต่างๆ โดยหวังว่าเด็กจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และมีครูที่โรงเรียนคอยดูแล

6.เด็กอยู่บ้านเฉยๆ เลยเบื่อ สู้ไปโรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษไม่ได้ จะได้เจอเพื่อนฝูง

จะเห็นได้ว่าจากเหตุผลทั้ง 6 ประการดังกล่าวนี้เป็นเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ อยู่เพียง 
3 เหตุผลเท่านั้น
 คือ
เรียนไม่ทัน อยากส่งเสริมทักษะความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เด็กสนใจเป็นพิเศษ และอยากเก่งที่สุดในสาขาที่เก่งอยู่แล้ว นอกนั้นเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาและเหตุผลทางสังคมเสียมากกว่า ทำให้ผู้ปกครองหลายคนต้องขวนขวายหาสตางค์มาส่งเสียให้ลูกเรียนทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น เด็กบางคนพอลงจากรถก็ไม่ได้เดินเข้าโรงเรียนกวดวิชาหรอกนะคะ แต่ไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ กินขนม ดูหนัง เห็นแล้วเสียดายสตางค์แทน แต่แค่เที่ยวเตร่ไม่เรียนก็ยังพอทน บางรายที่เป็นวัยรุ่นก็คบเพื่อนต่างเพศเดินโอบกอดกัน หรือแอบสูบบุหรี่ในซอยที่ลับตาคน แบบนี้แหละที่เห็นแล้วกลุ้มใจแทนผู้ปกครอง เสียทั้งเงินและอาจจะต้องเสียอนาคตของลูกหลานด้วย


การแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา
และ การใช้เวลาว่างของเยาวชนในบ้านเราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้ ปกครองและสถาบันการศึกษา คำว่าสถาบันการศึกษาไม่ได้หมายความถึงเฉพาะโรงเรียนที่เด็กสังกัดอยู่เท่า นั้น แต่หมายถึงสถาบันการศึกษาทุกแห่งที่มีส่วนรับผิดชอบในการสร้างเยาวชนของชาติ ให้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม และพลานามัยที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้


ทุกวันนี้สังคมบ้านเรามุ่งเน้นการแข่งขันชิงเด่นเป็นที่ 1 มากเกินไป
ทำ ให้โรงเรียน ผู้ปกครอง และเด็ก มีค่านิยมที่ต้องแข่งขันมากเกินความพอดี กล่าวคือ เกิดความเครียด ความกลัวว่าตัวเองจะเก่งไม่พอ จะสู้ไม่ได้ จนต้องเรียนอะไรต่อมิอะไรอยู่ตลอดเวลาจนขาดสมดุลของชีวิต ชีวิตเด็กที่มีคุณภาพคือ มีชั่วโมงเรียน ชั่วโมงเล่น ชั่วโมงพักผ่อน ชั่วโมงอยู่กับครอบครัว ชั่วโมงเรียนรู้โลกเพื่อเข้าสังคมและรู้จักโลกในมุมกว้าง และชั่วโมงเรียนรู้ศีลธรรมจรรยาบรรณ


เครดิต : http://variety.teenee.com/foodforbrain/31035.html

PS.  ทำไมเพื่อนๆไม่เข้าใจกันเลย ก็เค้าไม่ชอบฟังเกาหลีแล้วทำไมอ่า ไม่ต้องมาว่านะว่าเขาผิดปกติ แค่ไม่ฟังเพลงเหมือนเธอแล้วทำม้ายยยย อีกอย่างแค่ฟัง visual kei ไม่ได้แปลว่า ผิดปกตินะ!!![-emo22

กลอนเตือนใจ

กลอนเตือนใจ
หนึ่งก้าวที่ยาวไกล อาจหวั่นไหวและล้มลง หนึ่งก้าวที่มั่นคง แม้จะสั้นแต่มั่นใจ ....
---
Everyone hears what you say.
Friend listen to what you say.
Best friends listen to what you don " t say.

ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด
เพื่อนๆจะรับฟังในสิ่งที่คุณพูด
แต่เพื่อนแท้จะรับรู้ได้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เอ่ยมันออกมา
---
บิสมิลลาฮฺ เมื่อดวงอาทิตย์ถูกม้วนดับลง เเละเมื่อบรรดาดวงดาวหล่นลงมากระจัดกระจาย เเละเมื่อบรรดาภูเขาถูกเคลื่อนย้าย เเละเมื่ออูฐท้องสิบเดือนถูกทอดทิ้ง เเละเมื่อสัตว์ถูกนำมารวมกัน เเละเมื่อทะเลลุกเป็นไฟ เเละเมื่อชีวิตทั้งหลายถูกจัดเป็นคู่ เเละเมื่อทารกหญิงที่ถูกฝังทั่งเป็นถูกถาม ด้วยความผิดอันใดเขาจึงถูกฆ่า เเละเมื่อบันทึกทั้งหลายถูกกางเเผ่ เเละเมื่อชั้นฟ้าถูกเลิกออก เเละเมื่อนรกถูกจุดให้สว่างจ้า เเละเมื่อสวรรค์ถูกนำมาใกล้ ทุกชีวิตย่อมรู้สิ่งที่ตนเองนำมา
---
ทุก ๆ .. บททดสอบ
ทุก ๆ .. ปัญหา
ทุก ๆ .. อุปสรรค
ทุก ๆ .. ความกลัดกลุ้มของหัวใจ
มันมี .. ฮิกมะฮฺซ่อนอยู่
เพียงแค่ .. เราต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า.... "อัลลอฮฺกำลังจะบอกอะไรกับเรา"
---
"จงนึกถึงความตายให้มากกว่า การนึกว่าใครเป็นเนื้อคู่ เพราะไม่แน่นอนเลยว่า ชุดที่จะได้ใส่สีขาว คือชุดเจ้าสาว หรือผ้าห่อศพ"
---
ความเฉยชา คือการบอกลาโดยไม่ต้องออกเสียงใด
---
เพราะศรัทธาเดียวกัน จึงรักกัน มิใช่หรือ….
มิใช่รักกัน แล้วจึงศรัทธา ในสิ่งเดียวกัน>>>
--
บางครั้ง ล้มไม่เป็นท่า
เเต่ก็พยายาม ที่จะยืนทันที ทุกครั้งที่ล้ม
--
จงเรียนรู้เพื่อที่จะรัก   ---> รักเพื่ออัลลอฮ
ใครก็พูดได้ เเต่จริงๆล่ะ รักเพื่ออัลลอฮ หรือไม่?
--
คุณกล้าไหม
ที่จะลืมคนที่เคยอยู่ร่วมกัน.....เเล้วเค้าก้อจากไป
โดยทิ้งความเจ็บปวด อย่างสาหัสให้กับหัวใจของคุณ

คุณกล้าไหม
ที่จะลืมสิ่งใด สิ่งหนึ่ง...ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่คุณรักมาก

คุณกล้าไหม
ที่จะลืม ความทรงจำที่เคยทำให้คุณสุขใจ....
เเล้วความสุขนั้น ก็อยู่กับคุณไม่ยาวนาน ความทุกข์ ก็มาเเทนที่มัน

หากคุณ เป็นคนหนึ่งที่กล้าจะลืม เรื่องที่คุณรัก เรื่องที่ทำให้คุณเจ็บ
เรื่องที่เคยเกิด เเละจไม่มีวันเกิดขึ้น เรื่องนั้น คนนั้น กับคุณอิก.....

หากคุณกล้า
การลืมของคุณ เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งที่คุณทำได้
หัวใจคุณ เก่ง....เเละเข้มเเข็งมาก............................

หากเค้าทิ้งคุณ โดยไม่มีเหตผล คุณลืมเค้าไป เถอะน่ะ...
เพราะการที่คุณ ลืมเค้าได้
เป็นหนึ่งการปล่อยวางที่จะทำให้คุณ พบกับความสุขอิกครั้ง
---
ก็จงแต่งงานกับผู้ที่ดีแก่พวกเจ้า ในหมู่สตรี สองคน หรือสามคน หรือสี่คน
--
ความรักที่ดี ต้องมี " 69 " --
เพราะทุกครั้งที่ " 6 ล้ม " ต้องช่วยกัน พยุงให้ลุกขึ้น , แล้ว " 9 ไปต่อ " พร้อมๆ กัน 
--
เพราะความรัก ไม่ใช่สิ่งผูกขาดสำหรับมนุษย์น่ะ
เเต่ความจริงใจเเละการตักเตือนที่ดีต่างหาก
ที่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับพี่น้องชาวมุสลิม

รักเเต่ไม่มีความจริงใจ...ก้อไร้ประโยชน์
รักเเต่ไม่กล้าตักเตือนคนที่เรารักเมื่อเห็นเค้าทำผิด
รักนั้นก้อไร้ค่า.............

หากไม่รู้จักให้ความรักอย่างบริสุทธิใจกับคนรอบข้างอย่างจริงใจ
เราเองก้อจะไม่พบ กับความรักที่บริสุทธิ เเละ ความรัก ที่จริงใจ เช่นกัลลล
--
บางครั้ง เราก็ต้องทำใจ เมื่อสิ่งที่อยากได้ มันกลับไม่ได้
--
อย่าเอาความไม่มั่นใจ มาเป็นอุปสรรค ในการทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง
เพราะจะทำให้คุณ ลำบากที่จะไปถึงจุด เเห่งความสำเร็จ...............
---
เพราะอิสลาม มีจุดยืนที่เเน่นอน
เเละจะเข้าเฝ้าอัลลอฮ เมื่อถึงเวลา
ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือ พายุจะมา
เพราะการละหมาด คือ เสาหลักของผู้ยำเกรง
---
อัลลอฮ เท่านั้น ที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้

หากเราทำความดีให้กับใครบางคน จงหวังผลตอบเเทนจากอัลลอฮเท่านั้น

หากเราทำเพื่อผลตอบเเทนจาก เพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน

จะทำให้เรา เป็นทุกข์ได้ เพราะมนุษย์ ส่วนใหญ่ จะไม่รู้จัก ผู้ที่ทำดีให้เเกเค้า
---
รู้ไม ว่าผู้ที่อยู่กับเราตลอดเวลา ทุกนาที ทุกวินาที
คือ ไซตอน ญิน เเละ มาลัยกัต
--
จะไม่มีใคร ขาดทุน หากเค้าทำอะไรไป เเล้วเนียตเพื่ออัลลอฮ
--
อย่าได้หวังความรักจากคนที่เรารัก เพราะคนที่เรารักใช่ว่าจะรักเราเสมอไป..
--
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่ใช่ดารา ในจอ
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่ใช่พระเอกหนังจีน
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่ต้องเป็นซุปเปอร์เเมน
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่จำเป็นต้องเหาะได้
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่โด่งดัง
ฮี่โร่ ของฉัน จะไม่มีใครในโลกนี้ เสมือนท่าน
ฮี่โร่ ของฉัน ไม่ได้สร้างกระเเร เพื่อให้ทุกคนรู้จัก
ฮี่โร่ ของฉัน เป็นคนสุภาพอ่อนโยน ไม่ได้เเสเเสร้ง
ฮี่โร่ ของฉัน มีเเต่คนรู้จักทั่วโลก ไม่ใช่เเค่เอเซีย
-------------------------เเต่-------------------------
ฮี่โร่ ของฉัน เป็นที่รัก สำหรับคนทุกยุค ทุกสมัย

เพราะท่าน เป็นฮี่โร่ ที่นำทางฉัน เเละ พี่น้องของฉัน
ให้อยู่ในครรลอง ที่อัลลอฮ ได้ทรงบัญญัตไว้

เพราะท่านคือ ฮี่โร่ ผู้ยิ่งใหญ่ เเละตลอดกาล
เพราะท่านคือ ฮี่โร่ ทั้งในโลกนี้ เเละโลกหน้า
--
ไม่มีใครในโลกนี้ ได้ทุกอย่าง ในสิ่งที่ตนต้องการไปทุกเรื่องหรอก
ยกเว้นสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งที่อัลลอฮ อนุมัติ
--
เมื่อไม่ชอบ ก็ไม่ตั้งใจ
เมื่อไม่ตั้งใจ ก็ไม่อยากฟัง
เมื่อไม่อยากฟัง ก็จะไม่ได้ยิน
เมื่อไม่ได้ยิน เพราะไม่สนใจ
เมื่อไม่สนใจ ก็ไม่มีความรู้
เมื่อไม่มีความรู้ ก็ไม่ฉลาด
เมื่อไม่ฉลาด ก็เเสดงความโง่ออกมา
ใครที่ทำตัวเเบบนี้ ก็เเสดงว่า คนนั้น
ครบวงจรของความโง่เขลา อย่างสมบูรณ์เเบบ
ยินดีด้วย............................................................

เมื่อมีปาก ก็จงอ่าน
เมื่อมีหู ก็จงฟัง
เมื่อมีตา ก็จงดู
เมื่อมีสมอง ก็จงคิด

ประสบการณ์ ไม่มีในห้องเรียน
หากไม่ค้นหา ขยันที่จะศึกษา
มันก็เป็นเรื่องยากที่จะฉลาด
--
อย่าคิดว่าตนเองฉลาด รอบรู้ไปทุกเรื่อง
เพราะยังมีอิกเป็นพันเรื่องที่มองเห็น เเละมองไม่เห็น
เเละคนฉลาดก็ไม่รู้ ในสิ่งนั้นๆ
บางเรื่องคนฉลาดไม่รู้ เเต่คนโง่จะรู้ดีกว่า
บางเรื่องคนรวยไม่รู้ เเต่คนจนจะรู้ดีกว่า
บางเรื่องคนสวย ไม่รู้เเต่คนขี้เหร่ จะรู้ดีกว่า
--
โลกนี้ถูกสร้างมา เพื่อมนุษย์
มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่ออาคีเราะ
ฉะนั้นจงอยู่บนโลกนี้เพื่ออาคีเราะ..
---
ก่อนท่านรอซูล จากไป
ท่านได้เอ๋ยถึง ประชาชาตของฉัน ประชาชาตของฉัน ประชาชาตของฉัน

ฉันรู้สึกว่า ท่านรักเเละเป็นห่วงเราเหลือเกิน
เเละฉันคิดว่า ไม่มีบุคคลใดในโลกนี้
จะรักเเละเป็นห่วงฉัน เสมือนท่านรอซูล อิกเเล้ว
--
มีคนเเอดมา รับดีไม ไม่รับดีกว่า เพราะเค้าโพสรูป...ดูญาฮิลอ่า
หากเรารับเเอด เพื่อนๆเราก็จะหาว่าเรา รับเพื่อนที่ไม่ดี

ฮ่า นี้อิกคน รับดีกว่า เพราะเค้าโพสเเต่สิ่งที่ดี
เราก็จะได้ความรู้ไปด้วย

พี่น้องมุสลีมะหค่ะ....ขอบอกว่า หากเพื่อนที่เเอดมา จะดีหรือไม่นั้น เรารับเถอะน่ะ
เนียตอย่างเดียวคือ หากเรารับ เราจะได้ตักเตือน เเละดะวะหเค้าไปด้วย

ลองมองกลับกันน่ะ หากเราไม่รับ เค้าก็จะคบเเต่เพื่อนๆ วงของเค้า
ไม่มีใครดะวะหเค้า ไม่มีใครสนใจเค้า เเล้วไหนล่ะ การตักเตือนที่จะเกิดขึ้น

ส่วนคนที่ดีเเล้ว รับเเอดไปเลย เพราะเราจะได้เเชร์ความรู้ไปด้วย
ก็อป หรือ เเชร์ ก็มีค่าเท่ากัน.....

เเชร์ สิ่งที่ดี จากเพื่อนที่ดี ไปสู่ เพื่อนที่ยังไม่รู้ในเรื่องที่ดี
--
4 สิ่งถึงจะมีเงิน ร่ำรวยเเค่ไหนก็ใช้เงินซื้อมันไม่ได้
ความรัก เวลา ชีวิต เเละ มิตรเเท้(อิคลาส)

4 สิ่งที่มีเงินน้อย หรือมากก็ใช้ได้เหมือนกัน
อาหาร ยา เสื้อผ้า เเละ ยานพาหะนะ

4 สิ่งมีเงินอย่างเดียว ก็ใช้มันไม่ได้ ต้องโง่ด้วย
สิ่งเสพติด รถ(เพื่อโอ้อวด) เสื้อผ้าที่น้อยชิ้น(ไม่ปกปิด) เเละ อาหารที่มากเเต่ไร้ประโยชน์เนื่องด้วยไม่เเบ่งปัน

4 สิ่งที่ไม่มีเงิน ก็ทำได้ เเค่ขอให้ฉลาดเท่านั้น
เวลา(ที่ได้ทำในสิ่งที่ดี) อัลกรุอาน(ที่มีไว้เป็นทางนำ) ความอิคลาสที่มีต่อพี่น้อง การตักเตือนที่มาจากใจ เเละ ความรักที่มีในหนทางของอัลลอฮ
---
เพื่อน คือ มิตรภาพที่ดีที่สุด เเละกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้างเสมือน ฮิกมะฮ์(คุณค่า) ที่ต่อสะพานความเข้มเเข็งให้คนเราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน


สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
 
มารู้จัก โลก กันเถอะ
สภาวะโลกร้อน
สาเหตุ

ผลกระทบ

วิธีปกป้องโลก
           
     สาเหตุภาวะโลกร้อนเป็นภัยพิบัติที่มาถึง โดยที่เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอย่างดี นั่นคือ การที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดภาวะโลกร้อน

ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas)
      เป็นก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อน หรือรังสีอินฟาเรดได้ดี ก๊าซเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการรักษาอุณหภูมิในบรรยากาศของโลกให้คงที่ ซึ่งหากบรรยากาศโลกไม่มีก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ดังเช่นดาวเคราาะห์ดวงอื่นๆในระบบสุริยะแล้ว จะทำให้อุณหภูมิในตอนกลางวันนั้นร้อนจัด และในตอนกลางคืนนั้นหนาวจัด เนื่องจากก๊าซเหล่านี้ดูดคลื่นรังสีความร้อนไว้ในเวลากลางวัน แล้วค่อยๆ แผ่รังสีความร้อนออกมาในเวลากลางคืน ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศโลกไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน


     มีก๊าซจำนวนมากที่มีคุณสมบัติในการดูดซับคลื่นรังสีความร้อน และถูกจัดอยู่ในกลุ่มก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีทั้งก๊าซที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญคือ ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน มีเทนและไนตรัสออกไซด์ สารซีเอฟซี เป็นต้น แต่ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกควบคุมโดยพิธีสารเกียวโต มีเพียง 6 ชนิด โดยจะต้องเป็นก๊าซที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ (anthropogenic greenhouse gas emission) เท่านั้น ได้แก่
         
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ก๊าซมีเทน (CH4)
ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N20)
ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFC)
ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC)
ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6)

     ทั้งนี้ ยังมีก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง คือ
     สารซีเอฟซี (CFC หรือ Chlorofluorocarbon) ซึ่งใช้เป็นสารทำความเย็นและใช้ในการผลิตโฟม แต่ไม่ถูกกำหนดในพิธีสารเกียวโต เนื่องจากเป็นสารที่ถูกจำกัดการใช้ในพิธีสารมอนทรีออลแล้ว
    กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ กำลังเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ (อาจยกเว้นไอน้ำ)
    - การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
    - การตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
    - การทำการเกษตรและการปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์
    - ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ปล่อยก๊าซโอโซน
    นอกจากนี้ กระบวนการแปรรูปอุตสาหกรรมปล่อยสารฮาโลคาร์บอน (CFCs, HFCs, PFCs) การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกนั้น ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศมีความสามารถในการกักเก็บรังสีความร้อนได้มากขึ้น
    ผลที่ตามมาคือ อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกนั้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดยังมีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก (Global Warming Potential: GWP) ที่แตกต่างกัน
   ค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนนี้ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการแผ่รังสีความร้อนของโมเลกุล และขึ้นอยู่กับอายุของก๊าซนั้นๆ ในบรรยากาศ และจะคิดเทียบกับการแผ่รังสีความร้อนของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 20 ปี 50 ปี หรือ 100 ปี โดย
 ค่า GWP ของก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ในช่วงเวลา 100 ปี ของก๊าซเรือนกระจกต่างๆ เป็นดังนี้
 
1.ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีอายุในชั้นบรรยากาศ 200-4501 ปี
2.มีเทน 9-1523 ปี
3.ไนตรัสออกไซด์ 120-296 ปี
4.CFC 1,210-10,600 ปี
5.เตตะฟลูออโรมีเทน 5,700-50,000 ปี
6.ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ 3,200-22,000 ปี 

 

นักวิทยาศาสตร์อิสลาม

    รายละเอียด :
    ต้นฉบับตำรา "อัลญาบรา วัล มุกอบาลาฮฺ" โดย อัล คอวาริศมี
    นักวิทยาศาสตร์มุสลิม : อัล คอวาริศมี.
    BBC ยกย่อง อัล คอวาริศมีว่าเป็น นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ 1 ใน 10 ของโลก ในสมัยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของยุโรป(Renassance) ในอิตาลีมีคำพูดติดปากของนักคณิตศาสตร์ เป็นคำอุทานว่า Dixit Algoizmi!!! (thus spoke Al-kawarizmi)
    ในปี 1983 ทางประเทศรัสเซีย ได้พิมพ์ แสตมป์ฉลองครบรอบ 1200 ปี ของ อัล คอวาริศมี
    อัล คอวาริศมี มีชื่อเต็มว่า อบู ญะอ์ฟัร มุฮัมหมัด อิบนู มูซา อัลคอวาริศมี ค.ศ.790-840 (ฮ.ศ.210-260) เป็นนักคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ เกิดที่ คาวาริซึม(Khawarizm) ปัจจุบันเมือง กาวา กัลปัคซายา อุสเบกิสสถาน(Khava Kalpakshaya) ท่านได้เขียนตารางทางดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดและได้เขียนตำรา อัล อัฎ ตำราเล่มนี้เป็นตำราที่อธิบายแผนที่เล่มแรกในคริศตศวรรษที่ 9
    ชีวิตในวัยเยาว์ไม่เป็นที่ทราบกันมากนัก ทราบว่ามีชื่อเสียงอยู่ในสมัย อัลมะฮ์มูน แห่งราชวงศ์อับบาสียะฮ์ ซึ่งได้สนับสนุนงานวิชาการเป็นอย่างสูงได้ตั้งสถาบันการเรียนรู้(House of Wisdom) มีนักปรัญาและนักวิทยาศาสตร์ทำงานค้นคว้าและแปลตำรา(จากภาษากรีก) มีห้องสมุด ซึ่งนับเป็นห้องสมุดแห่งแรกของโลก หลังจากห้องสมุดในอเล็กซานเดรีย มีการสะสมงานที่สำคัญ ๆ ของไบเซนท์(โรมัน) มากมาย และได้มีการสร้าง หอสังเกตการณ์ดาวขึ้นมา
    อัล คอวาริศมีและคณะเช่น บานู มูซา(Banu Musa) เป็นนักวิชาการของสถาบันการเรียนรู้ แห่งแบกเดด งานส่วนหนึ่งคืองานแปลและศึกษาต้นฉบับงานทางวิทยาศาสตร์ของกรีก อัล คอวาริศมีได้เขียนตำราเสนอแก่ คาลีฟะฮฺอัลมะมูนหลายฉบับ เช่น ตำราทางคณิตศาสตร์ชื่อ "Hisab al-jabr w'al-muqabala" ซึ่งเป็น ผลงานที่มีชื่อเสียงมากของอัลคาวาริศมี ชื่อของตำรานี้เป็นที่มาของคำว่า "Algebra" หรือ พีชคณิต คำว่า อัล-จาบรา หมายถึง การกลับคืนค่า(Restoring) เป็นกระบวนการทำให้ค่าทั้งสองข้างของสมการ มีค่าเท่ากัน และคำว่า อัล มูกับบาลา หมายถึง การเปรียบเทียบ ทั้งสองข้างของสมการซึ่งมีค่าเท่ากัน
    ในบทนำ อัล คอวาริศมีได้กล่าวว่า (แปลโดย Rosen) "...คณิตศาสตร์เป็นเรื่องง่ายและมีประโยชน์ เช่น มนุษย์ ต้องมีการแบ่ง มรดก การแบ่งเป็นสัดส่วน การค้า การกฏหมาย และข้อตกลงระหว่างกัน หรือ การรังวัดขนาดของ พื้นดิน การขุดคลอง การคำนวณทางภูมิศาสตร์ และใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่จำเป็น..."
    ในบทต้นๆของตำรานี้ อัล คอวาริศมีได้กล่าวถึงระบบของตัวเลข ได้ให้ข้อสังเกตที่เกี่ยวกับ เลข 1 เลข 10 เลข 100 และค่าอื่น ๆ ได้กล่าวถึงระบบเลขธรรมชาติ กล่าวถึงการแก้สมการ สมการส่วนใหญ่ของอัลคอวาริศมี เป็นสมการเส้นตรง และสมการกำลังสอง ซึ่งประกอบด้วย พื้นที่(square) ราก(root) และ หน่วย(unit หรือ ตัวเลข) เช่น หน่วย คือ ตัวเลข รากคือคำตอบ หรือ x พื้นที่คือ กำลังสองหรือ x^2 (อ่านว่า x ยกกำลังสอง) อย่างไรก็ตามสมัยอัลคาวาริศมี ยังไม่มีการใช้สัญาลักษณ์ แทนตัวอักษร ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่มีในตำราของอัลคอวาริศมี
    x^2 = 40x - 4x^2 อัลคอวาริศมีใช้หลัก อัลจาบบรา เขียนเป็น 5x^2 = 40x และใช้หลัก อัลมู กับบาลา ลดรูปของสมการ 50 + 3x - x^2 = 29 + 10 เขียนเป็น 21 + x^2 = 7x
    ต้นฉบับตำรา "อัลญาบรา วัล มุกอบาลาฮฺ" โดย อัล คอวาริศมี
    อัลคาวาริศมีได้ใช้วิธีทางเรขาคณิตช่วยแก้สมการกำลังสอง เช่น สมการของอัลคอวาริศมี x^2 +10x = 39
    อัลคอวาริศมีเขียนสมการนี้เป็นคำพูดดังนี้ "...พื้นที่และ 10 เท่าของรากมีค่าเท่ากับ 39 หน่วย" เขียนเป็นคำถามดังนี้ ผลบวกของพื้นที่กับสิบเท่าของรากเป็น 39 อัล คอวาริศมีแก้สมการนี้ด้วยการสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หาขนาดของด้านดังรูป จะได้คำตอบ x = 3 (สมการนี้มีคำตอบหรือรากอีกค่า คือ -13)
    อัล คอวาริศมีใช้สี่เหลี่ยมแก้สมการ
    อธิบายได้ดังนี้ พื้นที่คือ x^2 รูปสี่เหลี่ยมนี้บวกกับ 10x ตามสมการเดิม คือรูปสี่เหลี่ยมเล็กรอบ ๆ ยาวด้านละ 10/4 = 5/2 ดังรูปที่ 2 คือ สมการ x^2 + 10x เท่ากับ 39 รูปที่ 3 เพิ่มสี่เหลี่ยมรูปที่ 2 ให้สมบูรณ์ พื้นที่ของสี่เหลี่ยมเล็กที่มุมทั้งสี่ คือ 5/2 คูณ 5/2 เท่ากับ 25/4 ดังนั้นพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม ทั้งหมดเป็น (25/4 คูณ 4) บวก 39 เท่ากับ 64 ดังนั้นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่ในรูปที่ 3 มีด้านยาวด้านละ 8
    ดังนั้นความยาวของด้านใดด้านหนึ่งคือ 5/2 + x + 5/2 คือ x+5 = 8 ดังนั้น x = 3
    ในตำราเล่มนี้ยังกล่าวถึงกฏทางคณิตศาสตร์อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน นอกจากนี้ อัลคอวาริศมีได้แต่งตำราคณิตศาสตร์อีกเล่มหนึ่งชื่อ "Kitab al-jam 'awal-ta freeq bil Hisab-al Hindi ซึ่งต้นฉบับภาษาอาหรับหายไป มีฉบับแปล ภาษาลาตินชือ "Algoritmi de numero Indorum" ภาษาอังกฤษ "Al kawarizme on the Hindo Art of Reckoning" ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า อัลกอริทึม (Algorithm) ที่หมายถึงขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ในตำราเล่มนี้ได้พูดถึง ระบบตัวเลข 1 ถึง 10 การใช้ทศนิยมและการใช้เลขศูนย์
    นอกจากเป็นนักคณิตศาสตร์แล้ว อัล คอวาริศมี ยังเป็นนักภูมิศาสตร์ เช่น ตำราชื่อ Kitab Surat -al-Ard เป็นตำราทางภูมิศาสตร์ มีตาราง และแผนที่ ใช้มาหลายสิบปี Istihhaj Tarikh al-Yahud ตำราการคำนวณปฏิทินแบบยิว และตำราชื่อ Kitab al-Tarikh, Kitab al-Rukhmet นอกจากนี้แล้ว อัล คอวาริศมียังได้สร้างตารางค่า sine,เริ่มใช้ ระบบตัวเลขฐานสิบ, ศึกษาระบบ รูปทรงภาคตัดกรวย(comic section) calculus of 2 error, ใช้เลข 0 เป็นทศนิยม เป็นต้น ตำราของท่านใช้ในสถาบันต่าง ๆ ถึงปี 1600
    ขอบคุณ http://www.muslimthai.com
    ติดต่อ : 12 [ 28 ก.ค. 51 11:39 ]